เมนู

พ. โลกมีความเพลิดเพลินประกอบ
ไว้ ความตรึกไปต่าง ๆ เป็นเครื่องเที่ยวไป
ของโลกนั้น เพราะละตัณหาได้เด็ดขาด
ท่านจึงกล่าวว่า นิพพาน.
อุ. เมื่อบุคคลมีสติอย่างไร เที่ยวไป
อยู่ วิญญาณจึงจะดับ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระองค์ ข้าพระองค์
ทั้งหลาย ขอฟังพระดำรัสของพระองค์.
พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา
ทั้งภายในและภายนอก มีสติอย่างนี้เที่ยว
ไปอยู่ วิญญาณจึงจะดับ.

จบอุทยมาณวกปัญหาที่ 13

อรรถกถาอุทยสูตร1ที่ 13


อุทยสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า ฌายี ผู้เพ่งฌาน ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญํ วิโมกฺขํ อัญญาวิโมกข์นี้ ได้แก่
อุทยมาณพทูลถามถึงวิโมกข์ อันเพ่งถึงปุญญานุภาพ.
ลำดับนั้น เพราะอุทยมาณพเป็นผู้ได้ฌานที่สี่ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาค-
เจ้า เมื่อจะทรงแสดงอัญญาวิโมกข์ คือธรรมเป็นเครื่องพ้นที่ควรรู้ทั่วถึง โดย
ประการต่าง ๆ ด้วยอำนาจฌาน ที่อุทยมณพได้แล้ว จึงตรัสคาถาสองคาถา.
1. บาลีเป็น อุทยปัญหา.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปหานํ กามจฺฉนฺทานํ ธรรมเป็นเครื่องละ
ความพอใจในกาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละ
ความพอใจในกาม ของผู้ยังปฐมฌานให้เกิดว่าเป็นอัญญาวิโมกข์. พึงประ-
กอบบททั้งปวงอย่างนี้. บทว่า อุเปกฺขาสติสํสุทฺธํ คือบริสุทธิ์ดีด้วยอุเบกขา
และสติในฌานที่สี่. บทว่า ธมฺมตกฺกปุเรชวํ มีความตรึกถึงธรรมแล่นไป
เบื้องหน้า คือ ภิกษุตั้งอยู่ในจตุตถฌานวิโมกข์นั้น เห็นแจ้งซึ่งองค์ฌานแล้ว
ย่อมกล่าวถึงอรหัตวิโมกข์ที่ตนบรรลุแล้ว. จริงอยู่ ความตรึกถึงธรรมมี
สัมมาสังกัปปะอันสัมปยุตด้วยมรรคเป็นต้นของอรหัตวิโมกข์ ชื่อว่าเป็นธรรม
แล่นไปเบื้องหน้า. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺมตกฺก-
ปุเรชวํ
มีความตรึกถึงธรรมแล่นไปเบื้องหน้า. บทว่า อวิชฺชาย ปเภทนํ
สำหรับทำลายอวิชชา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวว่านั่นแลเป็น
อัญญาวิโมกข์สำหรับทำลายอวิชชาโดยนัยที่ใกล้เคียงกับเหตุ เพราะอาศัยนิพ-
พานกล่าวคือการทำลายอวิชชาเกิดขึ้น. อุทยมาณพได้ฟังนิพพานที่พระผู้มี
พระภาคตรัส ด้วยพระดำรัสอันเป็นการทำลายอวิชชาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทูล
ถามว่า ที่เรียกว่านิพพานนั้น เพราะละอะไรได้ จึงกล่าวคาถาว่า กึสุ สํโย
ชโน
ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กึสุ สํโยชโน คือโลกมีอะไรประกอบไว้. บท
ว่า กึสุ วิจารโณ1 คือธรรมอะไรเป็นเครื่องเที่ยวไป. บทว่า กิสฺสสฺส
วิปฺปหาเนน คือเพราะละธรรมนั้น ธรรมนั้นชื่ออะไร.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงพยากรณ์ความนั้น แก่อุทย-
มาณพนั้นจึงตรัสคาถาว่า นนฺทิสํโยชโน โลกมีความเพลิดเพลินประกอบไว้.
1. บาลีเป็น วิจารณา.

ในบทเหล่านั้นบทว่า วิตกฺกสฺส ได้แก่ วิตกมีกามวิตกเป็นต้น.
บัดนี้อุทยมาณพ เมื่อจะทูลถามทางแห่งนิพพานนั้นจึงกล่าวคาถาว่า กถํ สตสฺส
เมื่อบุคคลมีสติอย่างไร. ในบทเหล่านั้น บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ อภิสังขาร
วิญญาณ (วิญญาณที่เกิดพร้อมกับอภิสังขาร)
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสบอกทางแก่อุทยมาณพนั้น
จึงตรัสคาถาว่า อชฺฌตฺตญฺจ ภายใน. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ สตสฺส
มีสติอย่างนี้ คือมีสติสัมปชัญญะอย่างนี้. บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดเจนดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต
นั้นเอง ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง เมื่อจบเทศนาได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นครั้งก่อนนั่นแล.
จบอรรถกถาอุทยสูตรที่ 13 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

โปสาลปัญหาที่ 14


ว่าด้วยภูมิที่ตั้งปัญญา


[438] โปสาลมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญ-
หา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงอ้างสิ่งที่ล่วงไปแล้ว (พระปรีชา
ญาณในกาลอันเป็นอดีต) ไม่ทรงหวั่นไหว
ทรงตัดความสงสัยได้แล้ว ทรงบรรลุถึงฝั่ง
แห่งธรรมทั้งปวง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ศากยะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของ
บุคคลผู้มีความสำคัญในรูปก้าวล่วงเสียแล้ว
ละรูปกายได้ทั้งหมด เห็นอยู่วาไม่มีอะไร
น้อยหนึ่งทั้งภายในและภายนอก บุคคลเช่น
นั้นควรแนะนำอย่างไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนโปสาละ
พระตถาคตทรงรู้ยิ่ง ซึ่งภูมิเป็นที่ตั้ง
แห่งวิญญาณทั้งปวง ทรงทราบบุคคลนั้นผู้ยัง
ดำรงอยู่ ผู่น้อมไปแล้วในอากิญจัญญายตน-
สมาบัติเป็นต้น ผู้มีอากิญจัญญายตนสมาบัติ